ยินดีต้อนรับสู่บล็อก ธรรมะวันละน้อย เรียงร้อยในใจฉัน เข้ามาเยี่ยมแล้ว คอมเม้นทให้ด้วยครับ และกดถูกใจ ด้วยบัญชี facebook หรือ Google plus ก็ได้นะ อย่าลืม ฝากข้อความไว้ใน Chat Box ครับ ลองเปิดลำโพงฟังเพลงทำสมาธิ สุดท้ายดาวน์โหลดตำราดีๆ ไปอ่านครับ

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

ความประทับใจที่มีต่อคุณยาย

วันอาทิตย์ต้นเดือน วันนี้พามะม้าไปร่วมบุญหล่อรูปเหมือนคุณยายด้วยทองคำ และเป็นเทศกาลเชงเม้งด้วย อุุทิศส่วนบุญให้ญาติๆ ผู้ล่วงลับ นึกย้อนถึงครั้นที่คุณยายยังมีชีวิตอยู่ ตอนนั้นผมเพิ่งลาสิขาจากการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ต่อมาไม่นาน น่าจะเป็นหลังงานกฐิน ๘๔ ปีคุณยาย ผมได้มีโอกาสไปกราบคุณยายที่อาคารยามา พอเข้าไปใกล้ๆคุณยาย เพื่อจะรับของที่ระลึกกะคุณยาย คุณยายเมตตาจับแขนของผม ยิ้มพร้อมทั้งพูดว่า "เอายายไปอยู่ด้วยนะ" พร้อมเขย่าแขนของผมด้วย บอกตรงๆว่า ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าคุณยายเป็นใคร ยังไม่ทราบว่าคุณยายมีคุณวิเศษเลยครับ แต่ตอนนี้มาคิดย้อนแล้วปลื้มมากครับ จำได้ว่า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลคุณยายบอกว่า คุณยายไม่ได้ทักใครแบบนี้บ่อยๆนะ เรามีบุญมากจริงๆหรือเนี่ย 

คำสอนยาย

ดวงบุญ ดวงบาป 

เอาบุญไปเยอะ ๆ นะเดี๋ยวชาติหน้าเกิดมาเจอยาย ยายจะจำได้ เจ้าคนนี้ตอนนั้นยายให้มันมาเอาบุญ มันไม่เอา ตอนนี้บุญมันนิดเดียว ตามเขาไม่ทัน ตอนนี้เราไม่เห็นหรอกว่า เราทำแล้วได้อะไรไป พอตายไป ถึงไปเห็นว่า เรามีบุญมีบาปมากน้อยเพียงไร กายหยาบ ๆ นี้มองไม่เห็นของละเอียด จึงไม่รู้ว่าบุญบาปมีจริง แต่พอตายไปแล้ว หลุดออกจากกายหยาบ ทีนี้ล่ะถึงเห็นดวงบุญ ดวงบาปของตัวเองว่า มีมากน้อยแค่ไหน  

5 เมษายน พ.ศ.2524






วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

วันประกาศผลสอบบาลี

♧ กว่าก้าว จะถึงเก้า
เจ็บปวดร้าว มากเพียงไหน
เหนื่อยล้น ท่วมท้นใจ
หากก้าวพลาด แทบขาดรอน
♧วันนี้...ก้าวถึงเก้า
จึงเป็นก้าว อนุสรณ์
เพื่อพระศาสน์ สถาพร
สมเป็นเก้า ของเราเอย.
Cr.สามภพ
  กราบถวายกำลังใจ และกราบมุทิตาสักการะ พระคุณเจ้า นักเรียนภาษาบาลีทุกรูปครับ..
  วันนี้ ช่วงบ่าย หลังจากร่วมลุ้นระทึก กับ การประกาศผลสอบบาลี ประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับประโยค  ๗,๘,๙ ที่วัดสามพระยามาแล้ว
   ช่วงเย็น - ค่ำ หรือ อาจจะดึก ก็มีลุ้น กับการปิดประกาศผลสอบ ของประโยค ๑-๒ ถึงประโยค ๖ ที่วัดปากน้ำกัน อีกครับ
    ความจรืงแล้ว การประกาศผลสอบ ของประโยค ๑-๒ ถึง ประโยค ๖ จะประกาศ ในวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๔ คือพรุ่งนี้ แต่ ใครจะอดใจไหว....ทั้งนักเรียน และ พอจ.จึง รวมกัน อยู่หน้าบอร์ที่วัดปากน้ำ อย่างใจ จรดจ่อ ลุ้นระทึก กันอีกครี้ง...
    ขอกราบถวายกำลังใจ กราบอนุโมทนาบุญครับ
มีภาพมาฝาก ให้อนุโมทนาบุญกันครับ
อนุโมทนาบุญคุณสุชิน นักเรียนบาลีศึกษา ที่เกาะติดสถานการ ที่วัดปากน้ำครับ
Cr. ภาพ:-คุณสุชิน และ เพจสมาคมแฟนพันธ์แท้บาลีสนามหลวง


วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

โอวาทพระภาวนาวิริยคุณ


วัดพระธรรมกาย มีทุนเท่าไร ?
หาเงินมาได้อย่างไร?  จึงสร้างวัดได้ใหญ่โต
อย่างนี้
คำถาม: ที่สร้างวัดพระธรรมกายมานี่ มีทุนเท่าไร หาเงินมาได้อย่างไร จึงสร้างวัดได้ใหญ่โตอย่างนี้
คำตอบ: เรื่องนี้ถูกถามมามาก คือเมื่อเริ่มสร้างวัด เราเริ่มขุดดินก้อนแรกเมื่อวันมาฆบูชา ปี พ.ศ. 2513 ขณะนั้นเรามีเงินก้นถุงอยู่ 3,200 บาทเท่านั้น
แต่เมื่อตอนจะลงมือสร้าง คุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านไม่ได้มองที่เงิน แต่ท่านมองที่คนที่จะมาช่วยกันสร้างวัด
        ขอฝากข้อคิดไว้กับพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาด้วยว่า การมองที่เงินของคนบางคนได้ก่อให้เกิดปัญหาน่ารำคาญแก่
วัดพระธรรมกายมาก
มีคนพูดว่าวัดนี้รวยแล้วบ้าง พูดว่าวัดนี้ได้เงินจากคอมมิวนิสต์ จึงมีทุนสร้างวัดได้ใหญ่โต สาธุชนก็พากันมาวัดมากมายผิดปกติ
สงสัยจะส้องสุมผู้คน เป็นเรื่องแปลกนะครับ เมื่อมีอะไรที่มันผิดหูผิดตาเกิดขึ้น หรือผิดความเคยชินสักหน่อย เรื่องเหล่านั้นจะกลายเป็นผิดปกติไปหมด
        คุณยายอาจารย์เมื่อจะเริ่มลงมือสร้างวัด ก่อนหน้านั้นท่านคัดคนฝึกคนอย่างเคร่งครัด ฝึกเอาจากผู้ที่มาวัดนั่นแหละ
ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าถูกคัด ภายหลังจึงทราบว่าท่านดูจากความตั้งใจในการปฏิบัติธรรม ดูศีลตั้งแต่เป็นฆราวาส ดูความประพฤติต่างๆ ท่านดูของท่านเงียบๆ ท่านดูและคัดมาเรื่อยๆ ว่าพอที่จะเป็นกำลังในการสร้างวัดได้หรือไม่
                                                                                                                                                                     
        จากลูกศิษย์ของท่านที่มีมากมาย ท่านคัดเลือกมาเพียง 30 คนเท่านั้น ขณะนั้นที่บวชแล้วมีอยู่องค์เดียว
คือ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาส ผมเองก็ยังไม่ได้บวช
ท่านเรียกพวกเราเข้ามาบอกว่า ต่อไปนี้เราจะสร้างวัด เป็นวัดใหญ่
ซึ่งชาติหนึ่งเราคงสร้างได้วัดเดียว เพราะฉะนั้นเราจะสร้างวัดนี้ให้ดีที่สุด และเพราะจะต้องระดมความคิดให้เต็มที่นี่แหละ แน่นอนเลยว่าเราคงต้องมีเรื่องทะเลาะกันแน่ เพราะจะเอาให้ดีที่สุด
        แล้วท่านก็พูดว่าให้ทุกคนถามตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ว่า ถ้าทะเลาะกันแล้ว เถียงกันแล้ว ใครที่คิดว่ามันอดจะโกรธกันเสียไม่ได้ล่ะก็
ให้ถอยไปเป็นกองเสบียงอยู่ข้างหลัง ถ้าใครคิดว่าทะเลาะกันแล้ว เถียงกันแล้ว ไม่โกรธกัน พร้อมที่จะให้อภัยกัน ให้ขึ้นมาข้างหน้ามาเป็นผู้นำ
        ขณะนั้นคุณยายกับหลวงพ่อธัมมชโย ซึ่งบวชได้ยังไม่ครบพรรษา ท่านนั่งเป็นประธานทั้งสองท่าน วันนั้นก็มีผู้ที่กล้ายืนยันตัวเอง 7-8 คน
จาก 30 คนที่คัดมา มีคนที่กล้ายืนยันว่า ถ้าทะเลาะกันแล้ว จะไม่โกรธกันเพียง 7-8 คน ผมก็เป็น 1 ใน 7-8 คนนั้น ใน 7-8 คนนี้มีที่เป็นหญิงด้วย ซึ่งท่านก็ยังมาปฏิบัติธรรมกันเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ ส่วนที่เป็นชายขณะนี้บวชหมดแล้ว
        จากนั้นเราก็ลงมือสร้างวัดกัน ถามว่าเวลาประชุมกันทะเลาะกันบ้างไหม ก็จริงอย่างคุณยายอาจารย์ว่า เราทะเลาะกันทุกครั้งเลย
เรื่องไม่ทะเลาะอย่ามาพูด คนตั้งหลายคนช่วยกันทำงาน เหนื่อยเต็มที่กันทุกคน ทำไมจะไม่ทะเลาะกัน ทะเลาะกันแล้ว ถามว่าโกรธไหม? ทำไมจะไม่โกรธ แต่ว่ามีดีตรงนี้คือ ไม่ผูกโกรธกัน
ตอนเถียงกันโกรธแน่ ชะๆ..เราอุตส่าห์คิดแทบตาย เราว่าดีที่สุด พอเสนอไปแล้วดันพูดมาได้ว่า ไม่ได้ความหรอก ปัดโธ่...ทำไมจะไม่โกรธ ก็เรายังเหาะไม่ได้นี่ ถามว่าโกรธไหม โกรธสิ แต่ไม่ผูกโกรธ ชนิดที่ว่าทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย แบบนี้ไม่มี ถึงจะโกรธ แต่ว่าพอไปล้างหน้าล้างตา กินน้ำสักอึกสองอึก ก็ค่อยคลายโกรธ ค่อยมาประชุมกันใหม่ แต่บางทีมันขัดกันแรงๆ เหมือนกัน โกรธเอาลึกๆ เชียวแหละ
        แต่คุณยายท่านก็รู้ใจ พอเห็นโกรธกันมากๆ ชักหน้าแดงหน้าเขียวกันขึ้นมาแล้ว ท่านทำอย่างไร รู้ไหม? พอท่านเห็นท่าไม่ดี
ท่านจะส่งเสียงเข้ามาก่อน “หยุดๆๆ อย่าประชุมต่อเลย มานั่งสมาธิ(Meditation)กันก่อน” แล้วท่านก็นำนั่งสมาธิ เข้ากลางของกลาง
กลางของกลางไปเรื่อยๆ ดูองค์พระให้ใจสบาย พอนั่งใจสบายเห็นองค์พระ เห็นดวงปฐมมรรค ก็ลืมโกรธเรื่องที่เถียงกันเมื่อกี้นี้ ไม่โกรธแล้ว มาประชุมกันใหม่ได้ แต่บางทีสารภาพกันตรงๆ เลย ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา บางทีมันขัดคอกันอย่างแรง นั่งสมาธิไม่เห็นองค์พระเสียตั้งหลายวัน มืดเลยก็แล้วกัน
        คุณยายอาจารย์ พอถึงเวลาท่านก็เรียกให้มานั่งสมาธิด้วยกัน เรื่องงานพักก่อนไม่ประชุมแล้ว ท่านดูลูกศิษย์ของท่าน ทั้งที่เป็นพระ ทั้งที่เป็นฆราวาส ดูว่าใจใสดีทุกคนหรือยัง ถ้ายัง ท่านจะเปรยขึ้นมาเลย ว่า
“งานอะไรก็วางไว้ก่อนนะ ยายว่ามานั่งสมาธิกับยายก่อนเถอะ” นั่งไปสัก 3-4 วัน พอใจใสดี ก็ลืมเรื่องที่ทะเลาะกันเถียงกันแล้วก็ว่าเรื่องงานกันใหม่ เราทำกันอย่างนี้ตลอดมา เพราะฉะนั้นงานก็เลยราบรื่น ไม่ขัดกันเอง นี่ก็เป็นเหตุแห่งความสำเร็จประการหนึ่ง
        ทีนี้ถึงเวลาหาเงิน บอกกันตรงๆ เผื่อว่าหลวงพ่อหลวงพี่จะได้เอาตำราหาเงินนี้ไปใช้ในการก่อสร้างวัดของท่านบ้าง เปิดไต๋กันเลยว่า ตำราหาเงินนี้จริงๆ แล้ว
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (พระมงคลเทพมุนี) ท่านให้มา ไม่ใช่คิดได้เอง แต่ท่านไม่ได้ให้โดยตรงกับพวกเราหรอกนะ ท่านให้กับรองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ท่านเจ้าคุณราชโมลี (ณรงค์ จิตญาโณ) ซึ่งขณะนี้มรณภาพไปแล้ว วันจะย้ายมาสร้างวัดกันที่นี่ ท่านเจ้าคุณท่านบอกตำราหาเงินของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ให้ ท่านว่าเป็นสูตรเลยว่า
        สูตรที่ 1 ต้องช่วยกันรักษาความสะอาด ท่านบอกว่าวัดไหนๆ ก็ตาม ถ้าปล่อยให้สกปรกรกรุงรัง ใครเข้ามา ใจมันเหี่ยว นั่งสมาธิไม่ทน เวลาฟังเทศน์ก็ไม่เข้าไปในใจเขา แต่ถ้ามันโล่งเตียนละก็ ธรรมะจึงจะเข้าไปในใจได้ พูดง่ายๆ อานิสงส์ในการทำวัดให้สะอาด คือ
        1.1 ตัวเองก็ชื่นบาน
        1.2 ผู้มาเห็นก็ใจเบิกบานแจ่มใส เลื่อมใสศรัทธาตาม
        จากหลักนี้แหละ ท่านขยายความว่าถ้ากวาดวัดให้ดี กวาดกุฏิให้ดี แล้วปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่นละก็ เวลาโยมมาวัด จะอ่านหัวใจโยมให้ฟังก็ได้ว่า ทีแรกตั้งใจว่าจะทำบุญสัก 10-20 บาท แต่พอเห็นสะอาด ร่มรื่น น่าสนับสนุน โยมควักเพิ่มเป็น 100 บาทเลย ไม่เชื่อก็ถามใจตัวเองดูว่าจริงหรือไม่จริง
        ตรงกันข้ามถ้าโยมมาถึงวัด กุฏิก็ไม่ได้กวาด ศาลาก็ขี้ฝุ่นหนาเตอะ มาทีไรเห็นหมาขี้เรื้อนนอนอยู่ทุกทีเลย มาเที่ยวแรกก็อย่างนั้น
เที่ยวที่สองก็อย่างนั้นอีกพอหลวงพี่หลวงพ่อออกปากว่า “โยม ขอกุฏิสักหลังเถอะ” ถ้าโยมยังไว้หน้าพระก็อาจจะบอกว่า “แหม ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี” แต่ถ้าไม่ไว้หน้า ก็ตอบเปรี้ยงออกไปเลย “หลวงพี่นะ หลังเดียวก็ยังไม่มีปัญญากวาด จะเอามาทำไมให้รกยิ่งขึ้นไปอีก” อย่างนี้เรียกว่า ฉีกหน้าพระเลยนะ
        สูตรที่ 2 ต้องเทศน์ให้โยมฟัง โยมเอาข้าวมาให้ฉันถึงวัด ไม่ต้องไปหุงเอง เพราะฉะนั้นเมื่อโยมมาถึงวัดแล้ว อย่าให้โยมกลับไปเปล่าๆ เทศน์ให้โยมฟังด้วย
ถ้าเทศน์ไม่ได้ ก็อ่านพระไตรปิฎกให้โยมฟังก็ยังดี โยมจะได้แง่คิด แล้วเอาไปใช้ทำมาหากินให้ร่ำรวย พูดง่ายๆ หลวงพ่อหลวงพี่อย่าฉันเปล่านะ เอาธรรมะมาตอบแทนให้โยมด้วย
โยมให้สิ่งของเป็นทาน ก็ขอให้พระเอาธรรมะเป็นธรรมทานให้โยมเกิดปัญญาติดตัวกลับไปด้วย พึ่งพาอาศัยกันอย่างนี้ พอโยมใช้ธรรมะแก้ปัญหาชีวิตได้แล้ว ไม่ช้าก็กลับมาช่วยกันสร้างวัดบำรุงวัด ไม่ต้องออกไปบอกบุญให้เหนื่อย
        สูตรที่ 3 สอนให้โยมนั่งสมาธิ ให้ภาวนา “สัมมา อะระหัง” เข้าไว้ ถ้าโยมถาม “สัมมา อะระหัง” ดียังไง? เอาเถอะพอเข้าถึงธรรมกาย เข้าถึงมรรคผล นิพพานแล้ว ดีแน่ๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ถึงอย่างนั้นก็ดี
        ดียังไง? ดีคือ เวลามีเรื่องราวทุกข์ร้อน วิ่งมาหาหลวงพี่ หลวงพ่อไม่ไหว เพราะอยู่ไกล โยมเคย สัมมา อะระหัง พออยู่บ้านก็หลับตา สัมมา อะระหังๆๆๆ เรื่อยไป พอใจนิ่ง ใจใส ใจสงบดี เดี๋ยวก็เห็นช่องทางที่จะแก้ไขไปเอง
        โยมก็จะได้รู้คุณว่า อ้อ..สัมมา อะระหัง ดีอย่างนี้ ธรรมะดีอย่างนี้ พระศาสนาดีอย่างนี้ ถึงเวลาก็มาร่วมกันทำบุญทำทาน แล้วมาช่วยกันสร้างวัด นี่ก็เป็นตำราหาเงินอีกสูตรหนึ่งที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ มอบไว้ให้
        สรุปว่าเมื่อกวาดวัดเตียน โยมก็ชอบมานั่ง เมื่อเทศน์อยู่เป็นประจำโยมก็มาเป็นประจำ โยมมาถึงวัดมาก โยมไม่นิ่งดูดายหรอก เห็นเราสร้างโน่นสร้างนี่ ประเดี๋ยวโยมก็ควักเงินช่วย ยิ่งโยมมามากเท่าไร ก็มีเงินช่วยสร้างวัดมาก ก็ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกครั้งไป
        ที่สำคัญอีกอย่างคือ ที่ญาติโยมเขากุลีกุจอรีบบริจาคช่วยเหลือก็คือ เมื่อทางวัดรับปัจจัยจากญาติโยมแล้ว ที่เคยบอกว่าจะสร้างอะไร ก็ให้รีบๆ สร้าง ให้เขาเป็นว่าเราทำจริงๆ แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงๆ อย่าไปเอาของเอาเงินของเขามาเก็บไว้เฉยๆ
        คุณยายอาจารย์ของพวกเราท่านให้หลักการข้อนี้ไว้ด้วย วัดของเราจึงขยายได้อย่างรวดเร็ว
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)..


วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

จงเป็นใหญ่ด้วยบุญ

จงเป็นใหญ่ด้วยบุญ 

คนเราจะทำอะไร ต้องนึกถึงฐานะตัวเอง ดู บุญของตัวเอง ต้องดูทุนเก่าที่เราทำมา จะทำอะไร อย่าให้เกินฐานะ ทำให้พอเหมาะพอสมก่อนจึงจะควร ถ้าอยากเป็นใหญ่ ต้องใหญ่ด้วยบุญ อย่าเป็นใหญ่ด้วยกิเลส ถ้าใหญ่ด้วยบุญจึงจะเป็นใหญ่ได้อย่าง แท้จริง แต่ถ้าเป็นใหญ่ด้วยกิเลส จะต้องหกคะเมน ตกลงมา เสียท่าเสียทีไปเลย เรื่องนี้ก็เป็นกันมาก ดูอย่างพระเทวทัต เป็นต้น พอทำอะไรไต้สักหน่อยหนึ่ง ก็อยากตัง อยากเด่น โดยไม่ดูพื้นฐานของตัวเอง ว่าสร้างพื้นฐานความดีมามากน้อยแค่ไหน มองดูแค่ปลาย เหตุนิดเดียว เหมือนกับการสร้างบ้านที่พื้นฐานไม่ดี พื้นฐานทำไว้แค่นิดหน่อย แต่พอสร้างบ้านไปแล้ว อยากได้ใหญ่ๆ โตๆ ในที่สุดบ้านนั้นก็มีแต่พังอย่างเดียว จะเอาอย่างยายเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร เพราะเขาไม่รู้ว่ายายอดทนมามาก ทำ ความดีไว้ในอดีตมากมาย จนความดีเป็นภูเขา ที่ยายได้ดีมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหา มากมาย ก็เพราะความดีที่ยายสร้างไว้ในอดีต

คำสอนยาย 
(๑๒ มกราคม ๒๕๑๘)



วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

แหล่งแห่งพลังใจ

แหล่งแห่งพลังใจ

ศูนย์กลางกาย เป็นแหล่งของสติ แหล่งของปัญญา  แหล่งของความสุข และแหล่งของพลังใจ   เมื่อใจของเราหยุดอยู่ที่ตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราจะรู้สึกว่าเราเป็นสุข เป็นความสุขที่แตกต่างจากสุขที่เราเคยเจอ เป็นสุขที่สงบ สุขที่เย็น สุขที่ทำให้ใจเราเบิกบาน

เมื่อเราได้สัมผัส  แหล่งของความสุข  เราจะเข้าถึงแหล่งพลัง  ในเวลาเดียวกันด้วย  เราจะสัมผัสได้ถึงพลังใจ  ที่อยากทำความดีอย่างเต็มกำลัง โดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใดใด 

มีพลังใจที่จะเอาชนะสิ่งไม่ดีต่าง ๆ  และ  เอาชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลได้ พลังใจจะเกิดขึ้น  จนกระทั่งคำว่า "อุปสรรค" ไม่มี อยู่ในพจนานุกรมของชีวิตเราเลย   เราจะคิดเพียงว่า ทำอย่างไรจึงจะไปถึงเป้าหมายแห่งความสำเร็จของชีวิตเท่านั้น

ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่



วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

โลกธรรม ๘ ประการ

พุทธพจน์เตือนใจ

    "จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ปราศจากความขุ่นมัว เป็นแดนเกษมจากโยคะ ได้ชื่อว่า เป็นมงคลอันสูงสุด" มงคลสูตร

    ธรรมดาของผู้ที่มีจิตใจมั่นคง ย่อมไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คำว่า โลกธรรม คือ ธรรมประจำโลก มีอยู่ 8 ประการ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทั้ง 8 อย่างนี้เป็นของคู่กัน มีทั้งสิ่งที่พึงปรารถนาและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

    ใครๆก็อยากได้ความสมปรารถนากันทั้งสิ้น เช่น อยากมีโชค มีทรัพย์สมบัติพรั่งพร้อม อยากได้รับการยอมรับนับถือ มียศมีตำแหน่งสูงๆ ไปไหนก็มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ มีความสุขกายสุขใจเนืองนิตย์ สิ่งเหล่านี้เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ทุกคน แต่ในความเป็นจริง บางครั้งชีวิตของเราอาจจะพบกับสิ่งที่ตรงกันข้าม เมื่อมีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ มียศ ก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญ ก็มีนินทา มีสุข มีทุกข์ คละเคล้ากันไปเป็นธรรมดาของโลก แม้เราไม่ปรารถนาจะพบ ก็ต้องพบ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ไม่ปรารถนาจะพบ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ แม้แต่พระอรหันต์ท่านยังถูกนินทา

"จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย พระเทพญาณมหามุนี"