ยินดีต้อนรับสู่บล็อก ธรรมะวันละน้อย เรียงร้อยในใจฉัน เข้ามาเยี่ยมแล้ว คอมเม้นทให้ด้วยครับ และกดถูกใจ ด้วยบัญชี facebook หรือ Google plus ก็ได้นะ อย่าลืม ฝากข้อความไว้ใน Chat Box ครับ ลองเปิดลำโพงฟังเพลงทำสมาธิ สุดท้ายดาวน์โหลดตำราดีๆ ไปอ่านครับ

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

วันประกาศผลสอบบาลี

♧ กว่าก้าว จะถึงเก้า
เจ็บปวดร้าว มากเพียงไหน
เหนื่อยล้น ท่วมท้นใจ
หากก้าวพลาด แทบขาดรอน
♧วันนี้...ก้าวถึงเก้า
จึงเป็นก้าว อนุสรณ์
เพื่อพระศาสน์ สถาพร
สมเป็นเก้า ของเราเอย.
Cr.สามภพ
  กราบถวายกำลังใจ และกราบมุทิตาสักการะ พระคุณเจ้า นักเรียนภาษาบาลีทุกรูปครับ..
  วันนี้ ช่วงบ่าย หลังจากร่วมลุ้นระทึก กับ การประกาศผลสอบบาลี ประจำปี ๒๕๕๙ สำหรับประโยค  ๗,๘,๙ ที่วัดสามพระยามาแล้ว
   ช่วงเย็น - ค่ำ หรือ อาจจะดึก ก็มีลุ้น กับการปิดประกาศผลสอบ ของประโยค ๑-๒ ถึงประโยค ๖ ที่วัดปากน้ำกัน อีกครับ
    ความจรืงแล้ว การประกาศผลสอบ ของประโยค ๑-๒ ถึง ประโยค ๖ จะประกาศ ในวันแรม ๗ ค่ำ เดือน ๔ คือพรุ่งนี้ แต่ ใครจะอดใจไหว....ทั้งนักเรียน และ พอจ.จึง รวมกัน อยู่หน้าบอร์ที่วัดปากน้ำ อย่างใจ จรดจ่อ ลุ้นระทึก กันอีกครี้ง...
    ขอกราบถวายกำลังใจ กราบอนุโมทนาบุญครับ
มีภาพมาฝาก ให้อนุโมทนาบุญกันครับ
อนุโมทนาบุญคุณสุชิน นักเรียนบาลีศึกษา ที่เกาะติดสถานการ ที่วัดปากน้ำครับ
Cr. ภาพ:-คุณสุชิน และ เพจสมาคมแฟนพันธ์แท้บาลีสนามหลวง


วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

โอวาทพระภาวนาวิริยคุณ


วัดพระธรรมกาย มีทุนเท่าไร ?
หาเงินมาได้อย่างไร?  จึงสร้างวัดได้ใหญ่โต
อย่างนี้
คำถาม: ที่สร้างวัดพระธรรมกายมานี่ มีทุนเท่าไร หาเงินมาได้อย่างไร จึงสร้างวัดได้ใหญ่โตอย่างนี้
คำตอบ: เรื่องนี้ถูกถามมามาก คือเมื่อเริ่มสร้างวัด เราเริ่มขุดดินก้อนแรกเมื่อวันมาฆบูชา ปี พ.ศ. 2513 ขณะนั้นเรามีเงินก้นถุงอยู่ 3,200 บาทเท่านั้น
แต่เมื่อตอนจะลงมือสร้าง คุณยายอาจารย์อุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ท่านไม่ได้มองที่เงิน แต่ท่านมองที่คนที่จะมาช่วยกันสร้างวัด
        ขอฝากข้อคิดไว้กับพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาด้วยว่า การมองที่เงินของคนบางคนได้ก่อให้เกิดปัญหาน่ารำคาญแก่
วัดพระธรรมกายมาก
มีคนพูดว่าวัดนี้รวยแล้วบ้าง พูดว่าวัดนี้ได้เงินจากคอมมิวนิสต์ จึงมีทุนสร้างวัดได้ใหญ่โต สาธุชนก็พากันมาวัดมากมายผิดปกติ
สงสัยจะส้องสุมผู้คน เป็นเรื่องแปลกนะครับ เมื่อมีอะไรที่มันผิดหูผิดตาเกิดขึ้น หรือผิดความเคยชินสักหน่อย เรื่องเหล่านั้นจะกลายเป็นผิดปกติไปหมด
        คุณยายอาจารย์เมื่อจะเริ่มลงมือสร้างวัด ก่อนหน้านั้นท่านคัดคนฝึกคนอย่างเคร่งครัด ฝึกเอาจากผู้ที่มาวัดนั่นแหละ
ผมเองก็ไม่รู้ตัวว่าถูกคัด ภายหลังจึงทราบว่าท่านดูจากความตั้งใจในการปฏิบัติธรรม ดูศีลตั้งแต่เป็นฆราวาส ดูความประพฤติต่างๆ ท่านดูของท่านเงียบๆ ท่านดูและคัดมาเรื่อยๆ ว่าพอที่จะเป็นกำลังในการสร้างวัดได้หรือไม่
                                                                                                                                                                     
        จากลูกศิษย์ของท่านที่มีมากมาย ท่านคัดเลือกมาเพียง 30 คนเท่านั้น ขณะนั้นที่บวชแล้วมีอยู่องค์เดียว
คือ พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาส ผมเองก็ยังไม่ได้บวช
ท่านเรียกพวกเราเข้ามาบอกว่า ต่อไปนี้เราจะสร้างวัด เป็นวัดใหญ่
ซึ่งชาติหนึ่งเราคงสร้างได้วัดเดียว เพราะฉะนั้นเราจะสร้างวัดนี้ให้ดีที่สุด และเพราะจะต้องระดมความคิดให้เต็มที่นี่แหละ แน่นอนเลยว่าเราคงต้องมีเรื่องทะเลาะกันแน่ เพราะจะเอาให้ดีที่สุด
        แล้วท่านก็พูดว่าให้ทุกคนถามตัวเองเสียเดี๋ยวนี้ว่า ถ้าทะเลาะกันแล้ว เถียงกันแล้ว ใครที่คิดว่ามันอดจะโกรธกันเสียไม่ได้ล่ะก็
ให้ถอยไปเป็นกองเสบียงอยู่ข้างหลัง ถ้าใครคิดว่าทะเลาะกันแล้ว เถียงกันแล้ว ไม่โกรธกัน พร้อมที่จะให้อภัยกัน ให้ขึ้นมาข้างหน้ามาเป็นผู้นำ
        ขณะนั้นคุณยายกับหลวงพ่อธัมมชโย ซึ่งบวชได้ยังไม่ครบพรรษา ท่านนั่งเป็นประธานทั้งสองท่าน วันนั้นก็มีผู้ที่กล้ายืนยันตัวเอง 7-8 คน
จาก 30 คนที่คัดมา มีคนที่กล้ายืนยันว่า ถ้าทะเลาะกันแล้ว จะไม่โกรธกันเพียง 7-8 คน ผมก็เป็น 1 ใน 7-8 คนนั้น ใน 7-8 คนนี้มีที่เป็นหญิงด้วย ซึ่งท่านก็ยังมาปฏิบัติธรรมกันเป็นประจำจนถึงทุกวันนี้ ส่วนที่เป็นชายขณะนี้บวชหมดแล้ว
        จากนั้นเราก็ลงมือสร้างวัดกัน ถามว่าเวลาประชุมกันทะเลาะกันบ้างไหม ก็จริงอย่างคุณยายอาจารย์ว่า เราทะเลาะกันทุกครั้งเลย
เรื่องไม่ทะเลาะอย่ามาพูด คนตั้งหลายคนช่วยกันทำงาน เหนื่อยเต็มที่กันทุกคน ทำไมจะไม่ทะเลาะกัน ทะเลาะกันแล้ว ถามว่าโกรธไหม? ทำไมจะไม่โกรธ แต่ว่ามีดีตรงนี้คือ ไม่ผูกโกรธกัน
ตอนเถียงกันโกรธแน่ ชะๆ..เราอุตส่าห์คิดแทบตาย เราว่าดีที่สุด พอเสนอไปแล้วดันพูดมาได้ว่า ไม่ได้ความหรอก ปัดโธ่...ทำไมจะไม่โกรธ ก็เรายังเหาะไม่ได้นี่ ถามว่าโกรธไหม โกรธสิ แต่ไม่ผูกโกรธ ชนิดที่ว่าทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย แบบนี้ไม่มี ถึงจะโกรธ แต่ว่าพอไปล้างหน้าล้างตา กินน้ำสักอึกสองอึก ก็ค่อยคลายโกรธ ค่อยมาประชุมกันใหม่ แต่บางทีมันขัดกันแรงๆ เหมือนกัน โกรธเอาลึกๆ เชียวแหละ
        แต่คุณยายท่านก็รู้ใจ พอเห็นโกรธกันมากๆ ชักหน้าแดงหน้าเขียวกันขึ้นมาแล้ว ท่านทำอย่างไร รู้ไหม? พอท่านเห็นท่าไม่ดี
ท่านจะส่งเสียงเข้ามาก่อน “หยุดๆๆ อย่าประชุมต่อเลย มานั่งสมาธิ(Meditation)กันก่อน” แล้วท่านก็นำนั่งสมาธิ เข้ากลางของกลาง
กลางของกลางไปเรื่อยๆ ดูองค์พระให้ใจสบาย พอนั่งใจสบายเห็นองค์พระ เห็นดวงปฐมมรรค ก็ลืมโกรธเรื่องที่เถียงกันเมื่อกี้นี้ ไม่โกรธแล้ว มาประชุมกันใหม่ได้ แต่บางทีสารภาพกันตรงๆ เลย ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมา บางทีมันขัดคอกันอย่างแรง นั่งสมาธิไม่เห็นองค์พระเสียตั้งหลายวัน มืดเลยก็แล้วกัน
        คุณยายอาจารย์ พอถึงเวลาท่านก็เรียกให้มานั่งสมาธิด้วยกัน เรื่องงานพักก่อนไม่ประชุมแล้ว ท่านดูลูกศิษย์ของท่าน ทั้งที่เป็นพระ ทั้งที่เป็นฆราวาส ดูว่าใจใสดีทุกคนหรือยัง ถ้ายัง ท่านจะเปรยขึ้นมาเลย ว่า
“งานอะไรก็วางไว้ก่อนนะ ยายว่ามานั่งสมาธิกับยายก่อนเถอะ” นั่งไปสัก 3-4 วัน พอใจใสดี ก็ลืมเรื่องที่ทะเลาะกันเถียงกันแล้วก็ว่าเรื่องงานกันใหม่ เราทำกันอย่างนี้ตลอดมา เพราะฉะนั้นงานก็เลยราบรื่น ไม่ขัดกันเอง นี่ก็เป็นเหตุแห่งความสำเร็จประการหนึ่ง
        ทีนี้ถึงเวลาหาเงิน บอกกันตรงๆ เผื่อว่าหลวงพ่อหลวงพี่จะได้เอาตำราหาเงินนี้ไปใช้ในการก่อสร้างวัดของท่านบ้าง เปิดไต๋กันเลยว่า ตำราหาเงินนี้จริงๆ แล้ว
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (พระมงคลเทพมุนี) ท่านให้มา ไม่ใช่คิดได้เอง แต่ท่านไม่ได้ให้โดยตรงกับพวกเราหรอกนะ ท่านให้กับรองเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ ท่านเจ้าคุณราชโมลี (ณรงค์ จิตญาโณ) ซึ่งขณะนี้มรณภาพไปแล้ว วันจะย้ายมาสร้างวัดกันที่นี่ ท่านเจ้าคุณท่านบอกตำราหาเงินของหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ ให้ ท่านว่าเป็นสูตรเลยว่า
        สูตรที่ 1 ต้องช่วยกันรักษาความสะอาด ท่านบอกว่าวัดไหนๆ ก็ตาม ถ้าปล่อยให้สกปรกรกรุงรัง ใครเข้ามา ใจมันเหี่ยว นั่งสมาธิไม่ทน เวลาฟังเทศน์ก็ไม่เข้าไปในใจเขา แต่ถ้ามันโล่งเตียนละก็ ธรรมะจึงจะเข้าไปในใจได้ พูดง่ายๆ อานิสงส์ในการทำวัดให้สะอาด คือ
        1.1 ตัวเองก็ชื่นบาน
        1.2 ผู้มาเห็นก็ใจเบิกบานแจ่มใส เลื่อมใสศรัทธาตาม
        จากหลักนี้แหละ ท่านขยายความว่าถ้ากวาดวัดให้ดี กวาดกุฏิให้ดี แล้วปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่นละก็ เวลาโยมมาวัด จะอ่านหัวใจโยมให้ฟังก็ได้ว่า ทีแรกตั้งใจว่าจะทำบุญสัก 10-20 บาท แต่พอเห็นสะอาด ร่มรื่น น่าสนับสนุน โยมควักเพิ่มเป็น 100 บาทเลย ไม่เชื่อก็ถามใจตัวเองดูว่าจริงหรือไม่จริง
        ตรงกันข้ามถ้าโยมมาถึงวัด กุฏิก็ไม่ได้กวาด ศาลาก็ขี้ฝุ่นหนาเตอะ มาทีไรเห็นหมาขี้เรื้อนนอนอยู่ทุกทีเลย มาเที่ยวแรกก็อย่างนั้น
เที่ยวที่สองก็อย่างนั้นอีกพอหลวงพี่หลวงพ่อออกปากว่า “โยม ขอกุฏิสักหลังเถอะ” ถ้าโยมยังไว้หน้าพระก็อาจจะบอกว่า “แหม ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี” แต่ถ้าไม่ไว้หน้า ก็ตอบเปรี้ยงออกไปเลย “หลวงพี่นะ หลังเดียวก็ยังไม่มีปัญญากวาด จะเอามาทำไมให้รกยิ่งขึ้นไปอีก” อย่างนี้เรียกว่า ฉีกหน้าพระเลยนะ
        สูตรที่ 2 ต้องเทศน์ให้โยมฟัง โยมเอาข้าวมาให้ฉันถึงวัด ไม่ต้องไปหุงเอง เพราะฉะนั้นเมื่อโยมมาถึงวัดแล้ว อย่าให้โยมกลับไปเปล่าๆ เทศน์ให้โยมฟังด้วย
ถ้าเทศน์ไม่ได้ ก็อ่านพระไตรปิฎกให้โยมฟังก็ยังดี โยมจะได้แง่คิด แล้วเอาไปใช้ทำมาหากินให้ร่ำรวย พูดง่ายๆ หลวงพ่อหลวงพี่อย่าฉันเปล่านะ เอาธรรมะมาตอบแทนให้โยมด้วย
โยมให้สิ่งของเป็นทาน ก็ขอให้พระเอาธรรมะเป็นธรรมทานให้โยมเกิดปัญญาติดตัวกลับไปด้วย พึ่งพาอาศัยกันอย่างนี้ พอโยมใช้ธรรมะแก้ปัญหาชีวิตได้แล้ว ไม่ช้าก็กลับมาช่วยกันสร้างวัดบำรุงวัด ไม่ต้องออกไปบอกบุญให้เหนื่อย
        สูตรที่ 3 สอนให้โยมนั่งสมาธิ ให้ภาวนา “สัมมา อะระหัง” เข้าไว้ ถ้าโยมถาม “สัมมา อะระหัง” ดียังไง? เอาเถอะพอเข้าถึงธรรมกาย เข้าถึงมรรคผล นิพพานแล้ว ดีแน่ๆ แต่ถึงแม้จะไม่ได้ถึงอย่างนั้นก็ดี
        ดียังไง? ดีคือ เวลามีเรื่องราวทุกข์ร้อน วิ่งมาหาหลวงพี่ หลวงพ่อไม่ไหว เพราะอยู่ไกล โยมเคย สัมมา อะระหัง พออยู่บ้านก็หลับตา สัมมา อะระหังๆๆๆ เรื่อยไป พอใจนิ่ง ใจใส ใจสงบดี เดี๋ยวก็เห็นช่องทางที่จะแก้ไขไปเอง
        โยมก็จะได้รู้คุณว่า อ้อ..สัมมา อะระหัง ดีอย่างนี้ ธรรมะดีอย่างนี้ พระศาสนาดีอย่างนี้ ถึงเวลาก็มาร่วมกันทำบุญทำทาน แล้วมาช่วยกันสร้างวัด นี่ก็เป็นตำราหาเงินอีกสูตรหนึ่งที่หลวงพ่อวัดปากน้ำฯ มอบไว้ให้
        สรุปว่าเมื่อกวาดวัดเตียน โยมก็ชอบมานั่ง เมื่อเทศน์อยู่เป็นประจำโยมก็มาเป็นประจำ โยมมาถึงวัดมาก โยมไม่นิ่งดูดายหรอก เห็นเราสร้างโน่นสร้างนี่ ประเดี๋ยวโยมก็ควักเงินช่วย ยิ่งโยมมามากเท่าไร ก็มีเงินช่วยสร้างวัดมาก ก็ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีทุกครั้งไป
        ที่สำคัญอีกอย่างคือ ที่ญาติโยมเขากุลีกุจอรีบบริจาคช่วยเหลือก็คือ เมื่อทางวัดรับปัจจัยจากญาติโยมแล้ว ที่เคยบอกว่าจะสร้างอะไร ก็ให้รีบๆ สร้าง ให้เขาเป็นว่าเราทำจริงๆ แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมจริงๆ อย่าไปเอาของเอาเงินของเขามาเก็บไว้เฉยๆ
        คุณยายอาจารย์ของพวกเราท่านให้หลักการข้อนี้ไว้ด้วย วัดของเราจึงขยายได้อย่างรวดเร็ว
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)..


วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2559

จงเป็นใหญ่ด้วยบุญ

จงเป็นใหญ่ด้วยบุญ 

คนเราจะทำอะไร ต้องนึกถึงฐานะตัวเอง ดู บุญของตัวเอง ต้องดูทุนเก่าที่เราทำมา จะทำอะไร อย่าให้เกินฐานะ ทำให้พอเหมาะพอสมก่อนจึงจะควร ถ้าอยากเป็นใหญ่ ต้องใหญ่ด้วยบุญ อย่าเป็นใหญ่ด้วยกิเลส ถ้าใหญ่ด้วยบุญจึงจะเป็นใหญ่ได้อย่าง แท้จริง แต่ถ้าเป็นใหญ่ด้วยกิเลส จะต้องหกคะเมน ตกลงมา เสียท่าเสียทีไปเลย เรื่องนี้ก็เป็นกันมาก ดูอย่างพระเทวทัต เป็นต้น พอทำอะไรไต้สักหน่อยหนึ่ง ก็อยากตัง อยากเด่น โดยไม่ดูพื้นฐานของตัวเอง ว่าสร้างพื้นฐานความดีมามากน้อยแค่ไหน มองดูแค่ปลาย เหตุนิดเดียว เหมือนกับการสร้างบ้านที่พื้นฐานไม่ดี พื้นฐานทำไว้แค่นิดหน่อย แต่พอสร้างบ้านไปแล้ว อยากได้ใหญ่ๆ โตๆ ในที่สุดบ้านนั้นก็มีแต่พังอย่างเดียว จะเอาอย่างยายเดี๋ยวนี้ได้อย่างไร เพราะเขาไม่รู้ว่ายายอดทนมามาก ทำ ความดีไว้ในอดีตมากมาย จนความดีเป็นภูเขา ที่ยายได้ดีมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหา มากมาย ก็เพราะความดีที่ยายสร้างไว้ในอดีต

คำสอนยาย 
(๑๒ มกราคม ๒๕๑๘)



วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

แหล่งแห่งพลังใจ

แหล่งแห่งพลังใจ

ศูนย์กลางกาย เป็นแหล่งของสติ แหล่งของปัญญา  แหล่งของความสุข และแหล่งของพลังใจ   เมื่อใจของเราหยุดอยู่ที่ตรงนี้ ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เราจะรู้สึกว่าเราเป็นสุข เป็นความสุขที่แตกต่างจากสุขที่เราเคยเจอ เป็นสุขที่สงบ สุขที่เย็น สุขที่ทำให้ใจเราเบิกบาน

เมื่อเราได้สัมผัส  แหล่งของความสุข  เราจะเข้าถึงแหล่งพลัง  ในเวลาเดียวกันด้วย  เราจะสัมผัสได้ถึงพลังใจ  ที่อยากทำความดีอย่างเต็มกำลัง โดยไม่หวาดหวั่นต่ออุปสรรคใดใด 

มีพลังใจที่จะเอาชนะสิ่งไม่ดีต่าง ๆ  และ  เอาชนะอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลได้ พลังใจจะเกิดขึ้น  จนกระทั่งคำว่า "อุปสรรค" ไม่มี อยู่ในพจนานุกรมของชีวิตเราเลย   เราจะคิดเพียงว่า ทำอย่างไรจึงจะไปถึงเป้าหมายแห่งความสำเร็จของชีวิตเท่านั้น

ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่



วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

โลกธรรม ๘ ประการ

พุทธพจน์เตือนใจ

    "จิตของผู้ใด อันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ปราศจากความขุ่นมัว เป็นแดนเกษมจากโยคะ ได้ชื่อว่า เป็นมงคลอันสูงสุด" มงคลสูตร

    ธรรมดาของผู้ที่มีจิตใจมั่นคง ย่อมไม่หวั่นไหวในโลกธรรม คำว่า โลกธรรม คือ ธรรมประจำโลก มีอยู่ 8 ประการ คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทั้ง 8 อย่างนี้เป็นของคู่กัน มีทั้งสิ่งที่พึงปรารถนาและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา แต่เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา

    ใครๆก็อยากได้ความสมปรารถนากันทั้งสิ้น เช่น อยากมีโชค มีทรัพย์สมบัติพรั่งพร้อม อยากได้รับการยอมรับนับถือ มียศมีตำแหน่งสูงๆ ไปไหนก็มีแต่คนยกย่องสรรเสริญ มีความสุขกายสุขใจเนืองนิตย์ สิ่งเหล่านี้เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ทุกคน แต่ในความเป็นจริง บางครั้งชีวิตของเราอาจจะพบกับสิ่งที่ตรงกันข้าม เมื่อมีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ มียศ ก็มีเสื่อมยศ มีสรรเสริญ ก็มีนินทา มีสุข มีทุกข์ คละเคล้ากันไปเป็นธรรมดาของโลก แม้เราไม่ปรารถนาจะพบ ก็ต้องพบ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ไม่ปรารถนาจะพบ แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ แม้แต่พระอรหันต์ท่านยังถูกนินทา

"จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย พระเทพญาณมหามุนี"








 


วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

หยาดฝน



ฝนจากฟ้า หล่นมา น่าชุ่มฉ่ำ
ตกพร่ำพร่ำ นำอุรา พาร้อนหาย
ไม้ชะอุ่ม ชุ่มเขียว มองสบาย
สุขใจกาย ฝนตกมา ครานี้เอย

บริกรรมภาวนา

บริกรรมภาวนา
หยุด ใน หยุด
นิ่ง ใน นิ่ง
ใส ใน ใส
สว่าง ใน สว่าง



วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

เหตุใดใจไม่หยุดนิ่ง

เหตุที่ใจไม่หยุดนิ่ง
เหตุที่ใจไม่หยุดนิ่ง เพราะมีความอยาก  อยากได้ อยากมี อยากเป็น  เป็นความอยากที่ประกอบไปด้วย  ความเพลิน นันทิราคสหคตา  ไม่ได้ประกอบไปด้วยดวงปัญญา
ถ้าความอยากประกอบไปด้วยปัญญา คือ อยากพ้นทุกข์ อยากไปนิพพาน  ถ้าไม่ประกอบไปด้วยปัญญาก็จะเพลิน ๆ กันไป  มีครอบครัวก็เพลิน ๆ มีลูกก็เลี้ยงลูกเพลิน ๆ...  จะทำมาหากินอะไร นอกเหนือจากเลี้ยงชีวิตแล้วก็เพลิน ๆ  จนหมดเวลาของชีวิต 
ความอยากเหล่านี้แหละ ที่พญามารเขาตรึงให้เราไปติดในคน สัตว์ สิ่งของ ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ใจกระเจิงหลุดออกจากศูนย์กลางกาย ฐานที่ ๗
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะไปสู่ทางมรรคผลนิพพาน

ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่

มีบุญมา..ไม่เท่ากัน

มีบุญมา..ไม่เท่ากัน
คนเราแต่ละคนเกิดมา
เอาบุญติดตัวมาไม่เท่ากัน  บางคนเอาบุญมามาก  บางคนเอาบุญมาน้อย มีบุญน้อย

คนที่เอาบุญมามาก  สอนตนเองได้  อบรมตนเองได้  เราก็เหนื่อยน้อยหน่อย   คนไหนมีบุญติดตัวมาน้อยเราก็ต้องสอนมากหน่อย  เพราะคนพวกนี้  ลืมเก่งได้หน้าลืมหลัง  สอนตัวเองไม่ได้   เราก็ต้องเหนื่อยหน่อย
คำสอนคุณยาย

พุทธพจน์เตือนใจ

พุทธพจน์เตือนใจ

     "พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันบุคคลผู้ปฏิบัติสามารถเห็นเองได้ ให้ผลไม่จำกัดกาล เป็นสิ่งที่ควรเรียกให้มาดู เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาไว้ในใจ อันวิญญูชนพึงรู้ได้เฉพาะตน"

     สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว คือ ธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วนำมาสั่งสอนสัตวโลก ผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามก็จะได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ และได้รับรสแห่งอมตธรรมซึ่งเป็นเลิศกว่ารสทั้งปวง คือ มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีทุกข์ใดๆ ทั้งสิ้น

     หนทางแห่งความสุขที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ให้มีความเห็นชอบ ความดำริชอบ กล่าววาจาชอบ ประกอบการงานชอบ หาเลี้ยงชีพโดยชอบ ทำความเพียรชอบ ตั้งสติไว้ชอบ และทำสมาธิชอบ ถ้าเราพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่าธรรมะเหล่านี้ ผู้ใดประพฤติปฏิบัติได้ จะอำนวยผลดีทั้งทางโลกและทางธรรม  ดังนั้น ธรรมะที่พระองค์ตรัสสอน จึงได้ชื่อว่า สวากขาตธรรม คือ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว ไพเราะทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย

     สนฺทิฏฺฐิโก พระธรรมคำสอนของพระองค์นั้น บุคคลใดลงมือปฏิบัติสมควรแก่ธรรม ย่อมได้บรรลุ และเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องขึ้นต่อผู้อื่น ไม่ต้องเชื่อถ้อยคำของใคร เพราะธรรมะภายในไม่เหมือนสิ่งของที่คนมองเห็นแล้วชี้ให้ดูได้ ต้องอาศัยการหยุดใจ  เมื่อหยุดก็สว่าง  เมื่อสว่างก็เห็น เป็นการเห็นด้วยใจ เห็นด้วยธรรมจักษุ  เห็นได้ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีอยู่จริง

     อกาลิโก รู้ได้โดยไม่จำกัดกาลเวลา ใจหยุดเมื่อไรก็เข้าถึงได้เมื่อนั้น ใจละเอียดถึงสภาวธรรมใด ย่อมเข้าใจสภาวธรรมนั้น และได้รับผลเสมอโดยไม่จำกัดเวลา

     เอหิปสฺสิโก ควรเรียกให้มาดู เพราะธรรมะของพระองค์เป็นของมีจริง และ ดีจริง ของสิ่งใดก็ตามถ้าไม่มีอยู่ หรือมีอยู่แต่ไม่ดีจริง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรเรียกผู้อื่นมาดู แต่เพราะพระธรรมนี้ทั้งมีจริง และดีจริง  เมื่อผู้ใดปฏิบัติได้แล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่น่าจะเชิญชวนคนอื่นให้มาพิสูจน์ด้วยตนเอง

     โอปนยิโก  เมื่อปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และได้พบของดี ของจริงแล้ว ก็ควรน้อมเข้ามาไว้ในใจ และถือปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป

     ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ธรรมะของพระพุทธองค์นั้น บุคคลจะพึงรู้ได้เฉพาะตน ข้อนี้คล้ายกับ สนฺทิฏฺฐิโก ที่กล่าวแล้ว แต่ต่างกันที่ สนฺทิฏฺฐิโก กล่าวถึงอาการเห็น ส่วน ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ กล่าวถึงอาการรู้ คือ ผู้ปฏิบัติธรรม จะรู้ว่าธรรมะดีจริงอย่างไร  เมื่อปฏิบัติแล้วจะได้ผลเป็นอย่างไร ย่อมเกิดจากการปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยตนเองเท่านั้น ผู้อื่นจะพลอยรู้ด้วยไม่ได้ เพราะเป็นรสทางใจ

     หากใจของผู้ปฏิบัติเยือกเย็นเป็นสุขเพียงใด แม้จะนำไปเล่าให้ผู้อื่นฟัง ใจของผู้ฟังก็ไม่เย็นเป็นสุขตามที่เขาบอกเล่าได้ อุปมาเหมือนคนได้กินแกงชนิดหนึ่ง และมาเล่าให้เราฟังว่า อร่อยอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็นึกไม่ออกว่า แกงที่เขาว่านั้นรสชาติเป็นอย่างไร จนกว่าจะได้ชิมด้วยตนเอง พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้น นำประโยชน์สุขอันแท้จริงมาสู่ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธา และปฏิบัติตามได้เสมอ

     "จากส่วนหนึ่ง ของรายการธรรมะเพื่อประชาชน โดย พระเทพญาณมหามุนี"

กรรมร่วมกันมา

คัมภีร์กฎแห่งกรรม 3 ชาติ ได้บันทึกไว้ว่า “สามีภรรยา " มีกรรมร่วมกันมา ไม่ว่าจะกรรมดี หรือกรรมชั่ว ถ้าไม่มีกรรม ร่วมกันมา ก็ไม่อาจอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันได้ " บุตรธิดา " คือ หนี้ ไม่ว่าจะเป็นทวงหนี้ หรือชดใช้หนี้ ไม่มีหนี้ ไม่มาเกิดเป็น พ่อ แม่ ลูกกัน”

      ดังนั้น สามีภรรยา ที่มีกรรมดีร่วมกันมา ย่อมสมานสามัคคี รักใคร่กลมเกลียว ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ส่วนสามีภรรยา ที่มีกรรมชั่ว ร่วมกัน มาแต่อดีตชาติ ย่อม ทะเลาะเบาะแว้ง บ้านแตกสาแหรกขาด ไม่อาจอยู่ร่วมกัน จนวันตาย 

       ส่วน " บุตรธิดา " ที่มาทวงหนี้ เป็นลูกที่ไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจไม่ วายเว้น " บุตรธิดา " ที่มาใช้หนี้ จะสำรวมระวัง รู้คุณทดแทนคุณ ไม่กล้า ทำให้พ่อแม่ ชอกช้ำใจ ชาวโลก ทุกคน เกิดมาต่างหนีไม่พ้น พบ พราก สุข ทุกข์ เศร้า อภัย แค้น รัก ชัง นี่คือผลแห่งของกรรม ปลูกเหตุเช่นไร ย่อมได้ลิ้มผลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเหตุใด หรือ ผลใด ล้วนหนีไม่พ้น กฏแห่งกรรมทั้งสิ้น

       1. มาแทนคุณ ด้วยบุญในอดีต ที่ได้สั่งสมร่วมกันมา ด้วยพระคุณที่มีต่อกัน จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า “ลูกกตัญญู” เขามาเพื่อที่จะทดแทนคุณ เป็นเด็กดี ฉลาด เชื่อฟัง เขาเหล่านี้ไม่มีทาง จะทำอะไรเสียหาย ให้พ่อแม่ต้อง กลัดกลุ้มกังวลใจ

       2. มาล้างแค้น ด้วยกรรมในอดีต ที่ได้สร้างร่วมกันมา จึงได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกหลานกัน เมื่อเติบใหญ่ก็จะกลายเป็นลูกล้างผลาญ ทำให้ครอบครัวล่มสลาย เราเรียกบุตรธิดาเหล่านี้ว่า “ลูกทรพี” เขามาล้างแค้น ดังนั้น อย่าได้ผูกเวรไว้กับเขา เจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ภายนอก ยังพอป้องกันได้ แต่นี่เกิดมาเป็นลูกหลานในบ้านใน ตระกูลแล้ว จะทำอย่างไรดี ดังนั้น อย่าทำร้ายใคร อย่าฆ่าแกงกัน เพราะต่างคนต่างก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน

       3. มาทวงหนี้ ชาติก่อนหนหลัง พ่อแม่เป็นหนี้ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน หนี้ที่ว่าคือ หนี้เงิน ไม่ใช่หนี้ชีวิต เขาจึงเกิดมาเพื่อทวงหนี้คืน หากเป็นหนี้กันน้อย เกิดมาให้ดูแลปีสองปีเขาก็ตาย เราเป็นหนี้เขาเท่าไหร่ เมื่อใช้หมด เขาก็ไป ต่อให้คุณรักเขามากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยใส่ใจคุณ หากเป็นหนี้เขาเยอะ เลี้ยงจนเติบใหญ่ จบมหาวิทยาลัย เรียนจบวันนั้น ก็ตายวันนั้น เขาไม่อยู่รับใช้เรา เพราะมาทวงหนี้ หนี้หมดก็จากไป

       4. มาใช้หนี้ชาติก่อนหนหลัง เขาเป็นหนี้พ่อแม่ไว้ ไม่ได้ชดใช้คืน เมื่อเขาเกิดมาในชาตินี้ จึงต้องทำงาน หาเงิน เหน็ดเหนื่อย เพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็อยู่ที่ว่า เป็นหนี้พ่อแม่มาก น้อยเพียงใด หากเป็นหนี้มาก ก็ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เป็นอย่างดี หากเป็นหนี้พ่อแม่น้อย ก็เลี้ยงดูตามอัตภาพเหมือนที่เราเคยพบเห็น เลี้ยงพ่อแม่ประหนึ่งคนรับใช้ในบ้าน เพราะอะไร เพราะมาใช้หนี้กรรม ลูกประเภทนี้ แม้จะเลี้ยงดูพ่อแม่ แต่ก็หล่อเลี้ยงแค่กาย ไม่หล่อเลี้ยงจิตใจ เลี้ยงดูโดยปราศจากความเคารพ และความกตัญญู ซึ่งต่างจากบุตรที่เกิดมา เพื่อทดแทนคุณ ประเภทนี้ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงกาย ยังหล่อเลี้ยง จิตใจบุพการี ด้วย

     หลักธรรมในข้อนี้ มิใช่เพียงแค่ลูกหลาน ยังรวมทั้งญาติพี่น้อง และคนรอบข้าง ทั้งหลาย ที่เราได้รู้จัก และเคยได้อยู่ร่วมกันมา หากแต่เป็นเพราะ กรรมที่ก่อกันมา หนักหนา หรือ เบาบาง หากบุญคุณ ความแค้นหนักหนา ก็เกิดมาเป็นสามีภรรยา และลูกหลานพี่น้อง หากบุญคุณ และความแค้นเบาบาง ก็เกิดมาเป็นญาติสนิทมิตรสหาย คุณเดินซื้อของในตลาด อยู่ๆคนแปลกหน้า ก็มายิ้มให้คุณและ คุณก็ยิ้มตอบ ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อน แต่ถ้าคุณรู้สึก ขัดหูขัดตา แถมไม่พอใจ ยังถมึงตา ใส่ฝ่ายตรงข้ามอีก นี่ก็ล้วนเป็นบุญกรรม แต่ชาติปางก่อนเมื่อเข้าใจในกฏแห่งกรรม เหล่านี้ เราจะได้ไม่ผูกกรรมด้านดำเพิ่ม แต่จงผูกกรรมด้านขาวซึ่งเป็นกรรมดีจะดีกว่า

       แล้วจะแก้ไขอย่างไร หากเราและลูกหลานผูกกรรมที่ ไม่ดีต่อกันมา แต่ปางก่อนแล้ว คำตอบก็คือ นำพาลูกหลานเข้าวัด หมั่นบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อต่างฝ่ายต่างศึกษาธรรม ย่อมแปรกรรมร้าย ให้กลายเป็นกรรมดีได้ ย่อมคลายความจองจำ คับแค้นให้สลายคลายลงได้ เช่นนี้ที่เราเรียกว่า "เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต เปลี่ยนร้าย กลายเป็นดี”
สาธุ...

อ่านจบแล้วแชร์ไปได้บุญ
-Balance-

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

สัตว์อัศจรรย์ที่อยู่ในป่าหิมพานต์

สัตว์อัศจรรย์ที่อยู่ในป่าหิมพานต์

ป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่ของเทวดาชั้นกลาง เช่น ครุฑ ยักษ์ นาค คนธรรพ์ วิทยาธร และมีสัตว์อัศจรรย์หลายชนิด ซึ่งสัตว์ที่อยู่ตรงนี้สวยมาก เหมือนเป็นต้นตระกูลของสัตว์ ทั้งหลาย มีสัตว์รูปร่างพิสดารมากมาย เช่น กินนร กินนรี ติณณราชสีห์ กาฬราชสีห์ ปัณฑุราชสีห์ ไกรสรราชสีห์ คชสีห์ และมีต้นมักกะลีผล ซึ่งมีผลเป็นนารี เป็นที่หมายปองของเหล่าเทวดาหลายพวก เช่น วิทยาธร คนธรรพ์ ในป่าหิมพานต์ทั้งหลาย เป็นต้น 



  • ต้นนารีผล หรือ มักกะลีผล นี้ จะขึ้นอยู่ท่ามกลางต้นไม้ต่างๆ จะขึ้นประปรายทั่วๆ ไป ไม่ได้ขึ้นเป็นหมู่ อยู่ในป่าหิมพานต์ รอบๆ เขาพระสุเมรุ ลำต้นนารีผลเป็นสีน้ำตาลทอง สวยงามเป็นเงาระยิบระยับ ใบเป็นสีทองแพรวพราวสวยงาม ซึ่งถ้าอยู่ในภพนี้จะมีรัศมีเรืองรอง เมื่อใบตกถึงพื้นก็แวบหายไป ไม่ต้องรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และไม่ต้องตกแต่ง เมื่อถึงฤดูกาลนารีผลจะห้อยเต็มไปหมด ถ้าไม่ใช่ฤดูกาลจะเห็นแต่ใบ เมื่อถึงเวลาอันสมควรจึงจะออกดอกออกผล นารีผลปีหนึ่งออกดอกครั้งเดียว ครั้งละ 3 เดือน ตั้งแต่ตูมจนกระทั่งบาน 1 เดือน จากบานเป็นนารีผลอีก 1 เดือน ส่วนอีก 1 เดือน นารีผลช่วงสุกงอมหลุดจากขั้ว จึงจะนำไปใช้สอยได้ ซึ่งแต่ละผลก็หลุดไม่พร้อมกัน แต่มีช่วงระยะหลุดจากต้น 1 เดือน เมื่อหล่นลงมาแล้วอยู่ได้แค่ 7 วันสวรรค์ เท่ากับ 350 ปีในเมืองมนุษย์ เหล่าคนธรรพ์ วิทยาธร จะมาคอยแย่งชิงนารีผลในช่วงที่นารีผลสุกงอม
  • คชสีห์ ที่มีหัวเป็นช้าง ตัวเป็นราชสีห์ ราชสีห์กับช้างผสมผสานกลมกลืนกันอย่างดี บางคนบอกว่า คนละสายพันธุ์กันจะผสมกันได้อย่างไร ก็เหมือนคนไทยแต่งงานกับคนต่างชาติ ลูกออกมาก็ผสมผสานกันไป คชสีห์เราได้ยินกันบ่อยๆ ถ้าเราอ่านในวรรณคดีจะคุ้น เขาเรียกว่า สัตว์ในเทพนิยาย บางคนไม่เชื่อว่ามีจริง แต่มันมีจริงๆ ดูแล้วจะเป็นสัตว์ประหลาด แต่ว่าเป็นสัตว์ที่สง่างามมาก
  • นาคราชสีห์ มีหัวเป็นพญานาค แต่ตัวเป็นราชสีห์ มีหางเป็นนาค มีเกล็ดเป็นนาค สวยสง่างาม องอาจ เกิดจากพญานาคกับราชสีห์ผสมกัน



  • ไกรสรราชสีห์ เป็นเจ้าป่าหิมพานต์ ตัวมีขนสีขาว ปลายๆ ขนมีสีแดงๆ ถ้าดูข้างหน้าผมจะมีสีแดง ขนจะขดวน ขดใหญ่ๆ วนตามเข็มนาฬิกา วนเป็นเกลียวขึ้นไปบนหลัง และผมของมันจะไม่ยุ่งเหยิงเหมือนสิงโตเมืองมนุษย์ สวยสง่างามมาก สามารถจับช้างกินได้


รักษาศีลให้ได้ตลอด

วันอังคารที่ 8 มี.ค.2559
 (โอวาทการปฏิบัติธรรม)จากคุณครูไม่ใหญ่

รักษาศีลให้ได้ตลอด :

  วันเวลาผ่านไปเร็วหมดเวลาไปเร็ว การรักษาศีล จะต้อง   รักษาให้ได้ตลอด ให้รักษาให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ด่างพร้อย บุญกุศลจะเพิ่มพูนมากขึ้น และจะทำให้ใจหยุดนิ่งได้ง่าย ธรรมะภายในก็จะก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป และกาย วาจา ใจของเราก็จะบริสุทธิ์

การกระทบกระทั่ง :

** "แม้เราจะต้องเจอการกระทบกระทั่งกันบ้าง เราก็ต้องรู้จัก ปล่อยวางให้ได้นะลูก โดยประคองใจเอาไว้ที่ศูนย์กลางกาย...รักษาใจให้ใส สิ่งที่เข้ามากระทบก็จะไม่เข้าไปถึงในใจ....จะได้เอาบุญกันได้เต็มที่ "***



เรื่องพระศาสนาให้เอาอุเบกขาวาง

สรุปโอวาท ประจำวัน  
   เสาร์ที่ 12 มีนาคม  
       พ.ศ. 2559
    ••••••••••••••••••
     “เรื่องส่วนตัว
  ให้วางอุเบกขา...แต่
  ถ้าเรื่องพระศาสนา
  ให้เอา "อุเบกขาวาง"  
    ปล่อยวางทางใจ 
แต่ไม่ปล่อยปะละเลยในหน้าที่ 
เราต้องช่วยกันปกป้องพระศาสนา"




คำสอนยาย

!!..คนมีบุญ

@.."คนมีบุญ"ไปอยู่ที่ไหน
ก็จะทำความเจริญให้กับที่นั่น 
.
@..คนมีบุญ..ถ้าไปอยู่ในป่า
ก็ทำป่าให้เป็นเมืองได้เพราะบุญ
.
@..เพราะฉะนั้น คนที่มีบุญ
จึงเรียกได้ว่าเป็นคนที่มีสิริมงคล 
.
@..คนที่มีสิริมงคลจะดึงดูด 
ความเจริญเข้ามาหาตัว 
แล้วก็ทำประโยชน์ให้กับคนอื่นได้   

คำสอนยาย



โอวาทคุณครูไม่ใหญ่

โอวาทคุณครูไม่ใหญ่

        ทำใจให้ใสใส ให้ทำใจเหมือนชาวสวรรค์ พระนิพพานและหลวงปู่ จะได้ส่งผังสำเร็จ และส่งบุญให้ได้ จะได้รับเต็มที่ มารจะได้ไม่ได้ช่อง อย่าไปกังวลกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ทำใจใสใส เดี๋ยวเราจะดีขึ้นๆเรื่อยๆ ถ้าเราไปกังวลหรือเครียด มารจะส่งผังมาให้เป็นไปตามเขา เดี๋ยวไปเข้าทางพญามาร เราต้องเปิดใจ รองรับผังของเราสิ! พระนิพพานและหลวงปู่ ส่งผังดีๆ มาให้สมหวังดั่งใจ ทำตามหลักวิชชา จะดีขึ้นเรื่อยๆ  ไม่ต้องไปกังวล แต่ให้ไปรวย 

cr.สิริวรรณี 4/3/2559


วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

อารมณ์ที่ทำให้เข้าถึง ความสุขภายในง่ายๆ - ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่

อารมณ์ที่ทำให้เข้าถึง ความสุขภายในง่ายๆ





เวลาใจไม่ติดข้องอะไร  ไม่ติดข้องอะไรจริงๆ นะ   คือไม่อยากเอาอะไรเลย   แล้วก็ไม่อยากได้อะไรเลย   มันจะเฉยๆ นะ  อยากอยู่กับตัวเองเงียบๆ
ลองๆ เป็นดูบ้างสิ  แล้วจะรู้สึกอารมณ์ดีทีเดียว   อารมณ์นี้จะทำให้เราเข้าถึงความสุขภายใน  ง่ายเลยนี่นะ  

ถ้าเรารู้สึกไม่อยากได้อะไรเลย  ถ้าหากเราไม่อยากได้ในสิ่งใด  เราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการนี่นะ  ซึ่งอยู่ภายในตัว


ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่


ของดีที่อยู่ในตัว - ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่

ของดีที่อยู่ในตัว

ลูก ๆ  ทุกคนมีของดีอยู่ในตัว  คือจุดที่จะเชื่อมโยง กับผู้มีอานุภาพ  ผู้เป็นสรณะ  เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐได้ 

ยามใดที่ลูกทั้งหลายประสบทุกข์  ไม่ว่าจะเป็นทุกข์  โศก  โรค  ภัย  ในธุรกิจการงานหรือเรื่องอะไรก็ตาม  อย่าเสียเวลาบ่นเพ้อพิไรรำพัน  ให้นึกถึงสรณะภายในซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ 

หยุดใจไว้ตรงตำแหน่งที่จะเชื่อมโยงกับท่านได้  คือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗  แล้วตรงนั้น  เราจะได้พบท่านผู้มีอานุภาพ  มาช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปได้ดังที่เราต้องการ


ธรรมะคุณครูไม่ใหญ่


หยุดที่ใจ

หยุดที่ใจ


หยุด..รัก 
หยุด..โกรธ 
หยุด..โลภ 
หยุด..หลง 
หยุด..อย่างมั่นคง 
ต้องหยุด..ที่ใจ
 



วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

รู้จักทำใจ

รู้จักทำใจ
บางที...วันที่ผันผ่าน
จัดการกับปัญหา ให้เราได้
หากใจ...มีแต่เรื่องสุข
เรื่องทุกข์ ก็ไม่อาจแทรกเข้ามาได้
เพราะ....เรารู้จัก
วิธีทำใจ..ให้สบาย
 

มีได้มีเสีย

มีได้มีเสีย

ชีวิตคนเรา
อยู่ในวงจรของ...การได้
และการเสีย
ไม่มีการได้ที่...ปราศจากการเสีย
และ
ไม่มี การเสียที่...ปราศจากการได้
จะได้ หรือ เสีย
อยู่ที่ ใจ มองเห็นมุมไหน
 


ความทรงจำที่งดงาม



ความทรงจำที่งดงาม


ความทรงจำที่งดงามที่สุดก็คือ
วันเวลาที่เราได้
ทำความดี
ทุกครั้งที่ระลึกถึง
ดวงใจ..จะแช่มชื่นเบิกบาน
หมั่นระลึกถึง..ความดี
เพื่อให้ความสุขที่เกิดขึ้นนี้
ยังโลกให้สวยงาม
 



อย่ากังวล

อย่ากังวล




ไม่มีความจำเป็นที่
จะต้องไปกังวลใจกับอนาคต...
สิ่งที่เราคิดว่าจะเกิด
มันอาจจะไม่เกิดก็ได้